Serum

delicate : Skin Illuminator Brightening Serum

สวัสดีครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้วมีคน Request อยากขอดูแตกสารของเจ้า delicate : Skin Illuminator Brightening Serum ครับ อันนี้เป็นลูกรักตัวแรกที่หมูทำออกมานะครับ แล้วจะบอกว่าทำไมถึงมาทำ Skin Care ตัวนี้ครับ

ความเป็นมา

เดลิเคท (delicate) เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เกิดจากความสงสัยของเด็กคนหนึ่ง (ใช่.. เค้าเคยเป็นเด็ก 😂) ว่าทำไมครีมต่างๆนั้นประกอบไปด้วยสารอะไรบ้างนะ ถึงสามารถช่วยให้ผิวของคนเราชุ่มชื้นขึ้น ขาวขึ้น หรือแม้กระทั่งช่วยให้ริ้วรอยสามารถตื้นขึ้นได้ ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา เด็กน้อยได้เริ่มออกเดินทางในโลกของสารประกอบต่างๆจาก งานวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือมากมาย[1][2]

delicate เป็นความตั้งใจอย่างสูงของหมูเองที่อยากจะพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณภาพสูงได้ผลจากการใช้งานจริง โดยสารที่นำมาเลือกใช้นั้นจะถูกคัดเลือกมาจากผลทางการวิจัยต่างๆที่เชื่อถือได้ตามหลักของเหตุและผล เพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคต่อไป


[1] อ้างอิงจากเวบไซต์ Pubmed ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเปิดเผย และ Journal ทางการแพทย์ต่างๆที่เป็นงานวิจัยที่ถูกพิจารณาก่อนนำมาตีพิมพ์ ซึ่งงานวิจัยบางชี้นจะต้องเสียเงินเป็นหลักพันเพื่อเข้าไปอ่านได้
[2] ด้วยความที่เป็นคนสนใจในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ส่งผลให้การศึกษาหาข้อมูลและการเรียนรู้ที่ผ่านมากลายเป็นส่วนหนึ่งในใช้ชีวิตประจำวัน จึงทำให้เห็นช่องว่างของความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ skincare ยังมีอีกมาก จึงตัดสินใจเปิด Facebook Page ชื่อว่า livelymoo เมื่อต้นปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภค “คิดก่อนซื้อ” ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริโภคเอง

The Review

เข้าเรื่องกันเลยครับ เจ้า delicate : Skin Illuminator Brightening Serum นี้หมูมีความตั้งใจทำขึ้นมาให้เป็น Daily Skin Care เพื่อใช้ทั้งเช้า/เย็น และเป็น Unisex Skin Care ที่ใช้ได้ทั้งชาย/หญิงไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ สรุปคือเป็น Skin Care ที่ควรจะมีทุกบ้านครับ เพราะ

  1. เป็น Skin Care พื้นฐานที่ใครๆก็ควรใช้เพื่อปรับ Skin Tone ในภาพรวม ลดรอยแดงรอยดำ ให้สีผิวดูเรียบเนียนเท่ากันทั้งใบหน้า
  2. เป็น Skin Care ที่อ่อนโยนไม่ได้ผสมสีและน้ำหอมใดๆ
  3. เบสที่ใช้นั้นเป็นเบสของ Eye Cream ครับ เป็น Oil in Water Emulsion จึงสามารถใช้บำรุงได้ทั่วหน้าและบริเวณรอบดวงตา (คือตั้งใจทำมากจริงๆ)
  4. สารประกอบที่ใช้ก็เป็นสารประกอบที่มีงานวิจัยรองรับชัดเจนทุกตัว เรียบง่าย ทรงพลัง และชัดเจนในวัตถุประสงค์ของการใส่เข้ามา

ในส่วนของสารประกอบนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลักๆ ดังนี้

I) สาร Whitening ประกอบด้วย

  1. Niacinamide 4% : สารตัวนี้เป็นที่โด่งดังและใช้กันมาช้านานครับสรรพคุณของมันมากมาย แต่ Brand ต่างๆ ใส่มาถึง % ที่ได้ตามงานวิจัยหรือไม่นั้นก็ต้องไปพิจารณากันต่อไปครับ สรุปจากงานวิจัยมีดังนี้นะครับ
    • รักษาฝ้า : Niacinamide 4% เทียบกับ Hydroquinone (HQ) 4% ผลปรากฎออกมาว่า ในระยะเวลา 2 เดือน ฝั่งที่ทา Niacinamide ลดฝ้าได้ 44% ในขณะที่ HQ ลดได้ 55% ครับ แต่คนเดินดินทั่วไปที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องฝ้าคงจะไม่บ้าไปใช้ HQ ทาหน้าโดยไม่มีหมอคอยจ่ายยาหรอกครับ หน้าพังพอดี อีกอย่าง Side Effect ของ HQ ก็เยอะกว่าด้วย
    • DRP2011-379173.001.jpgDRP2011-379173.002.jpg
    • Niacinamide 4% รักษาอาการอักเสบของสิว ได้ดีกว่า Clindamycin 1% เทสโดยทาเช้าเย็นระยะเวลา 2 เดือน ทดลองกับคน 36 คน ช่วยให้ 82% ของกลุ่มคนที่เข้ารับการทดลอง มีการอักเสบจากสิวลดลง ในขณะที่ผลการรักษาด้วย Clindamycin 1% กับอีก 36 คน นั้นช่วยลดการอับเสบได้ 68% ของกลุ่มตัวอย่าง
    • มีรายงานการวิจัยเรื่องความสามารถในการลดการผลิตไขมันบนหน้าของ B3 ที่ 2% โดยเป็นงานวิจัยร่วมของทางอเมริกา และญี่ปุ่นครับ ซึ่งทางญี่ปุ่นเทสที่อาทิตย์ที่ 2 และ 4 ส่วนทางอเมริกาเทสที่อาทิตย์ที่ 3 และ 6 แล้วก็พบว่าที่ระดับ 2% มันสามารถช่วยลดการผลิต Sebum ได้จริงครับ
    • เป็น Cell Communicating ช่วยให้เซลล์สื่อสารกันได้ดี จะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มปริมาณ Ceramide ในชั้นผิว ส่งเสริมให้ Skin Barrier มีความแข็งแรง
  2.  Licorice Root Extract
    • 500g-dried-font-b-Glycyrrhiza-b-font-font-b-uralensis-b-font-Fisch-herb-tea-Licorice.jpg

    • credit : aliexpress.com
    • รากของชะเอมเทศเป็นตัวที่ขึ้นชื่อในเรื่องการการต้านการระคายเคืองรวมถึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น ที่ผ่านมาเราจะได้ยินว่า Hydroquinone คือ Gold Standard ในเรื่องของการรักษาฝ้าแต่ก็ยังมีประเด็นในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นจึงมีการศึกษาสารสกัดอื่นๆ จากพืชที่สามารถช่วยรักษาฝ้า และอาการ Hyperpigmentation จากรอยสิวและแผลต่างๆ หนึ่งในนั้นที่ช่วยรักษาอาการเหล่านี้คือชะเอมเทศนั้นเองครับ
    • จริงๆสารตัวนี้มีใน Biophytex™ ที่กำลังจะพูดในด้านล่าง แต่หมูใส่เพิ่มเข้ามาอีกครับเพราะสรรพคุณมันดีจริงๆ
  3. Ascorbyl Tetraisopalmitate
    • ascorbic-acid-ascorbyl-tetraisopalmitate-structure.png
    • Credit Photo : labmuffin.com
    • ตัวนี้เป็น Vitamin C ที่มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า tetraisopalmitoyl ascorbic acid (ATIP) มันเป็น Vitamin C ที่มีความสามารถในการละลายในน้ำมันครับ คือเป็น Oil Base Vitamin C นั้นเอง ตัวมันเองมีความเสถียรสูงมากนะครับ มากกว่าตัวรูปแบบโบราณที่ชื่อ Ascorbic Acid (AA) ที่โดนน้ำก็จะเสื่อมแล้ว และเนื่องจาก ATIP เป็นรูปแบบที่ละลายในน้ำมัน มันจึงมีความสามารถในการซึมเข้าผิวของเราได้ดี โดยคุณสมบัติของ Vitamin C จะเป็นตัวลดการสร้างเมลานิน รวมถึงกระตุ้นการสร้าง Collagen และช่วยป้องกันผิวจากการทำร้ายจาก UV เพราะแดดบ้านเราก็เหลือทนจริงๆ

II) Biophytex™

  • มาถึงทีมนางเอก (Biophytex™) ของเรากันบ้าง หลังจากที่มีทีมพระเอก Niacinamide และเหล่าผองเพื่อนไปแล้ว
  • จากเดิมที่หมูพยายามจะหาสารแยกเป็นตัวๆที่ช่วยเรื่องรอยแดงนี้ หมูก็ขอใช้เจ้า Biophytex™ แทนเลยครับ เจ้าตัวนี้หมูพิจารณาสารประกอบข้างในแต่ละตัวแล้วว่าทุกตัวให้ผลได้จริง มันสามารถช่วยลดรอยคล้ำหรือรอยแตกแดงๆของเส้นเลือดฝอยได้ โดยที่หมูไม่ต้องไปนั่งซื้อสารแยกกันมารวม แล้วต้องมานั่งกังวลอีกว่า Source ของผู้ผลิตเชื่อถือได้แค่ไหน แต่ตัวนี้เชื่อมันได้เลยเพราะมันผลิตจากผู้ขายสารรายใหญ่อันดับต้นๆเองเลยนั้นคือ BASF เป็นเจ้าของลิขสิทธ์แต่เพียงผู้เดียวครับ
  • เจ้าตัวนี้จะประกอบไปด้วยสารทั้งหมด 6 ตัวนะครับได้แก่ Butcher’s broom, Centella asiatica, Calendula officinalis, Horse Chestnut, Licorice และ Saccharomyces cerevisiae (Hydrolyzed Yeast Protien) ทั้งนี้สารทั้ง 6 ตัวมีงานวิจัยรองรับทั้งหมดนะครับ สามารถอ่านรายละเอียดและ Reference งานวิจัยได้ที่ด้านล่างหมูจะแปะไว้ให้หมดแล้วครับ
  • สาร 5 ตัวแรกจะมีสารสกัดที่จะให้สารจำพวก Flavonoid และ Saponosides ที่ต้านอาการอักเสบของผิว (บางคนนำตัวนี้ไปใช้แล้วถึงมาบอกว่าผื่นต่างๆหายก็มาจากสารเหล่านี้ด้วยครับ)
  • สิ่งที่น่าประทับใจคือสารที่ชื่อ Escin ที่ได้จาก horse chestnus นะครับ เจ้าตัวนี้นั้นนับได้ว่าเป็นเภสัชวิทยาเลยทีเดียว (pharmacological) ซึ่งมันเองก็ถูกก็นับเป็นสารประกอบประเภทสาร Saponin เช่นกันนะครับ มีความสามารถในการช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้เส้นเลือดและหลอดเลือดหดตัว สร้างความแข็งแรงให้ผนังหลอดเลือดไม่ให้แตกง่าย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด สามารถออกฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ และช่วย Sooth ผิวด้วย (ศัพท์ BA หรือการโฆษณามักจะแปลงคำว่า Sooth เป็นคำว่า “ปลอบประโลม” ผิว นั้นเอง)
  • Butcher’s broom มีชื่อในเรื่องของการช่วยให้โลหิตไหลเวียน และเป็นสารที่มักจะใช้ในการช่วยลดอาการเส้นเลือดขอด
  • สารสกัดจากใบบัวบก ซึ่งเจ้าตัวนี้เป็นตัวทำมาหากินของ Brand Sisley มาช้านานครับ สรรพคุณดีงามมากมายหลากหลาย เช่นรักษาอาการแพ้อักเสบ หรือช่วยในเรื่องของการสมานแผลและการผลิต Collagen โดยสารหลักๆของมัน คือ Triterpenoid และ Saponins (ที่มีในโสมเช่นกัน)
  • ข้อดีอีกข้อคือใน Biophytex™ นี้มีสารประกอบจากดอกดาวเรืองซึ่งโดดเด่นในเรื่องการลดผลกระทบจากการทำร้ายของ UVB ซึ่งหมายถึงลดอาการไหม้จากแสงแดดให้แก่ผิวของเราเพราะมันมีสาร Polyphenol และ Flavonoid ครับ เหมาะกับการใช้สู้แดดบ้านเราแน่นอน [แอบบอกว่าสารตัวนี้หมูชอบตั้งแต่มันอยู่ในครีมกันแดดที่หมูเคยรีวิวไปแล้วด้วยนั้นคือ KOSÉ : Suncut UV Protect Gel SPF50+ PA++++ นั้นเองครับ]
  • ส่วนตัวที่ 6 เอาตรงๆมันก็คือยีสต์สกัด ที่มาก็เหมือนแนวพวก SK II นั้นแหล่ะครับเน้นให้ความชุ่มชื้น ต้านอนุมูลอิสระและ Sooth ผิวอีกเช่นกันครับ

III) สารให้ความชุ่มชื้น

ในส่วนนี้ก็จะประกอบไปด้วย Jojoba Seed Oil ที่ทาเอาชุ่มชื้นเฉยๆ และ Squalane ซึ่งตัวนี้เป็นสารที่ดีต่อผิวมากๆนะครับ สมันก่อนจะหายากหน่อยเพราะต้องสกัดจากปลาฉลาม ไปเรื่อยๆ เราก็สามารถสกัดได้จากมะกอก จนล่าสุดสกัดได้จากอ้อยครับ คุณสมบัติของมันก็มากมายมีการนำไปทดสอบกับทั้งสัตว์ คน (In Vivo) และหลอดทดลอง (In Vitro) ซึ่งก็พบว่ามันเป็นทั้ง anticancer, antioxidant, drug carrier, detoxifier, ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และ (แทรกตามรอยแตกของผิว) emollient ครับ

สรุปภาพรวมการใช้งาน

Serum ตัวนี้เน้นเรื่องการปรับ Skin Tone ในภาพรวมครับปรับทั้งเรื่องฝ้า ลดความมัน ปรับทั้งสีผิวที่ดำและแดงคล้ำต่างๆ หากใครที่มีผิวมันก็สามารถใช้แทนครีมเป็นลำดับสุดท้ายแล้วต่อด้วยครีมกันแดดได้เลยครับ ถือเป็นตัวที่ควรมีไว้ทุกบ้านจริงๆ

สำหรับผู้ที่มี Concern อื่นๆ เช่นอยากมีผิวที่ขาวใส กระจ่างชัดเจน รวมถึงต้องการลดริ้วรอยเล็กๆบนใบหน้า ขอแนะนำให้ใช้ delicate : High Potency VC Serum นะครับ เอาไว้จะมาเขียน Review ให้ต่อไป แต่บอกคร่าวๆว่าตัวนี้เป็นตัวที่เข้มข้นสูงสุดใน Product ที่เราทำขึ้นมา เพื่อคืนความกระจ่างใสให้แก่ผิวอย่างเข้มข้นครับ เฉพาะสาร Active หลักที่ใช้ก็รวมกัน 19% แล้วครับ ยังไม่นับตัวรองที่ใส่มาเพิ่ม

ในส่วนของผู้ที่ต้องการเน้นเรื่องยกกระชับนั้นทางเราเองยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาสูตรอยู่นะครับอดใจรออีกหน่อยนะครับ ขอบพระคุณมากครับ

ราคา 1,090 บาท/30ml

สามารถติดต่อสอบถามสินค้าได้ที่

LINE @ : @delicateskins

หรือกด http://line.me/ti/p/~@delicateskins

Facebook : delicateskins

IG : delicateskins


รีวิวละเอียด ขี้เกียจอ่าน ข้ามเลย

เนื้อสัมผัส

delicate Skin Illuminator Brightening Serum 2.jpg

เนื้อเซรั่มมีคววามเกาะตัวปานกลาง สีขาวอมเหลืองนวลๆ แทบไม่มีกลิ่นครับ (ต้องตั้งใจดมจริงๆถึงจะได้กลิ่นจางๆของสารสกัด)

 

delicate Skin Illuminator Brightening Serum 3.jpg

เมื่อลองเกลี่ยเซรั่มแล้วจะรู้สึกถึงความนุ่มของตัวเนื้อครีม เกลี่ยไม่ยาก ไม่หนักจนเกินไป แต่ก็ไม่เบาจนแห้งหายเหมือนกลุ่มน้ำตบ

 

delicate Skin Illuminator Brightening Serum 4.jpg

เมื่อเกลี่ยจนเสร็จแล้วทิ้งไว้ไม่ถึงนาทีเซรั่มก็จะเซตตัวและเรียบไปกับผิวครับ จุดนี้สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งแนะนำให้ทาครีมเติมทับลงไปอีก 1 ชั้นนะครับ

 

รายละเอียดสาร

ขอขั้นรายการซักเล็กน้อย มาให้ความรู้เพิ่มเติมซึ่งมาจากประสบการณ์ในการอ่านสารของหมูเองแล้วกันครับ

  • จะเห็นว่าสารในข้อ II เหล่านี้จะอยู่ที่ปลายๆของ Full Ingredient ซึ่งนั้นไม่ได้หมายความว่าใส่น้อยแล้วจะไม่ให้ผลอะไรนะครับ
  • สารบางตัวต้องใส่มากถึงเห็นผล แต่ในเวลาเดียวกันสารตัวเดิมใส่มากไปก็จะเป็นโทษ (อย่าง Niacinamide เกิน 10% ก็จะระคายผิว) สารบางตัวสกัดมาแล้วใส่ในปริมาณน้อยๆก็เพียงพอสำหรับให้ผลแล้ว… ตรงนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการอ่านสารมาซักระยะหนึ่งนะครับ ถึงจะเข้าใจและดูออกว่าตัวไหนควรมีมากหรือน้อยแตกต่างกันออกไป อีกตัวอย่างก็คือ Vitamin A Retinol ใส่แค่ 0.25% ก็เห็นผลแล้วเช่นกันครับ
  • ถ้าเพื่อนๆไปสังเกตุ Escin ที่อยู่ใน Kiehl’s : Powerful-Strength Line-Reducing Eye-Brightening Concentrate มันก็ใส่มาอยู่ท้ายๆ เช่นกันนะครับ เพราะรูปแบบของตัวสาร Escin เค้าใส่กันเท่านี้จริงๆครับ
  • อีกตัวอย่างคือ Acetyl Hexapeptide-8 ที่อ้างว่ามันทำหน้าที่เหมือน Botox ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า Agireline® นะครับ สาร Agireline® เพียวๆเลยเค้าจะมี Acetyl Hexapeptide-8 อยู่ 0.05% แปลว่าถ้าเอาสารที่ชื่อ Agireline® มาทาหน้าเพียวๆ 100% เราก็จะได้ Acetyl Hexapeptide-8 ที่ 0.05% นะครับ
  • ทั้งนี้เจ้า Agireline® เอง มีวิจัยที่เป็นเกรดจ้างโดยผู้ผลิตสารเอง ความน่าเชื่อถือก็จะเบาบาง เค้าบอกว่าใส่ Agireline® 10% (หมายความว่าครีมตัวนี้มี Acetyl Hexapeptide-8 อยู่ 0.005%) สามารถช่วยให้ริ้วรอยลดลงได้ …. คือจะช่วยได้หรือไม่หมูไม่รู้ แต่ถ้ามีสติแล้วอ่านสารในครีม เราก็ควรจะเห็น Acetyl Hexapeptide-8 ตามหลังสารกันเสียที่มักจะใส่กันที่ 1% จริงไหมครับ? ดังนั้นเวลาเห็นครีมเจ้าไหนเรียงสารเอาตัว Acetyl Hexapeptide-8 ไว้แถวหน้าๆของครีมมาเลย ส่วนตัวหมูเองก็มองว่าเค้า “น่าจะ” ใส่มาไม่ได้เรียงลำดับความเข้มข้นนะครับ ใส่จริงกี่% ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้บอกอะไรเราอย่างตรงไปตรงมาครับ… [Reference เรื่อง 0.05% มาจาก Suppliers ขายสารหลายๆเจ้าตามนี้นะครับ Ref1 / Ref2 / Ref3 ถ้าใครเจอคนที่ขายแบบเข้มข้นกว่านี้ก็รบกวนเอามาแบ่งปันกันครับ]
  1. Aqua
  2. Behenyl Alcohol
    • Emulsifier ให้ Oil และ น้ำเข้ากัน
    • EWG = 1
  3. Isononyl Isononanoate
  4. Niacinamide
    • เจ้า Vitamin B3 นี้เป็นเหมือนวิตามินครอบจักรวาลจริงๆ ครับ มีชื่อเรียกอีก 2-3 ชื่อครับ คือ Niacinamide, Nicotinamide และ nicotinic amide ซึ่งเรามักจะเห็นว่ามีการนำมาใส่ในเครื่องสำอางค์กันเยอะมากๆ ครับ เอะอะก็โยนลงไป เพราะว่ามันเองมีความปลอดภัยสูงครับลักษณะของมันจะเป็นผงสีขาว สามารถละลายน้ำได้Vitamin B3 2.pngเรามาดูงานวิจัยของ Vitmin B3 กันบ้างว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้างครับ1. มีงานวิจัยเพื่อการรักษาฝ้า โดยนำเจ้า Vitamin B3 ที่ความเข้มข้น 4% มาเทียบกับ Hydroquinone (HQ) 4% โดยใช้กับผู้ทดสอบที่มีอาการเป็นฝ้าจำนวน 27 ซึ่งผู้ทดสอบจะต้องทา Vitamin B3 กับ HQ ฝั่งละข้าง ผลปรากฎออกมาว่า ในระยะเวลา 2 เดือน ฝั่งที่ทา Vitamin B3 ลดฝ้าได้ 44% ในขณะที่ HQ ลดได้ 55% ครับ แต่คนเดินดินทั่วไปที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องฝ้าคงจะไม่บ้าไปใช้ HQ ทาหน้าโดยไม่มีหมอคอยจ่ายยาหรอกครับ หน้าพังพอดี อีกอย่าง Side Effect ของ HQ ก็เยอะกว่าด้วยDRP2011-379173.001.jpgDRP2011-379173.002.jpg2. มีงานวิจัยเพิ่มครับว่าการทา B3 ที่ 4% กับ Clindamycin 1% เพื่อการรักษาอาการอักเสบของสิว โดยทาเช้าเย็นระยะเวลา 2 เดือน ทดลองกับคน 36 คน ช่วยให้ 82% ของกลุ่มคนที่เข้ารับการทดลอง มีการอักเสบจากสิวลดลง ในขณะที่ผลการรักษาด้วย Clindamycin 1% กับอีก 36 คน นั้นช่วยลดการอับเสบได้ 68% ของกลุ่มตัวอย่าง) [Source : http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/7657446]

      3. มีรายงานการวิจัยเรื่องความสามารถในการลดการผลิตไขมันบนหน้าของ B3 ที่ 2% โดยเป็นงานวิจัยร่วมของทางอเมริกา และญี่ปุ่นครับ ซึ่งทางญี่ปุ่นเทสที่อาทิตย์ที่ 2 และ 4 ส่วนทางอเมริกาเทสที่อาทิตย์ที่ 3 และ 6 แล้วก็พบว่าที่ระดับ 2% มันสามารถช่วยลดการผลิต Sebum ได้ครับ [Source : http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16766489]

      4. Dose ในการใช้ Vitamin B3 Max Dose โดยไม่รู้สึกระคายเคืองผิวมี Limit อยู่ที่ 10% ครับ [Source : http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16596767]

      5. นอกจากนี้ B3 ยังเป็น Cell Communicating ช่วยให้เซลล์สื่อสารกันได้ดี จะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มปริมาณ Ceramide ในชั้นผิว ส่งเสริมให้ Skin Barrier มีความแข็งแรง (Source : http://www.paulaschoice.com/cosmetic-ingredient-dictionary/definition/niacinamide)

  5. Butylene Glycol
    • สารเพิ่มการกระจายตัวของเนื้อครีม
  6. Squalane
    • Squala65
    • Credit Photo : http://www.newdruginfo.com/
    • ตัวนี้เป็นสารที่ดีต่อผิวมากๆนะครับ สมันก่อนจะหายากหน่อยเพราะต้องสกัดจากปลาฉลาม ไปเรื่อยๆ เราก็สามารถสกัดได้จากมะกอก จนล่าสุดสกัดได้จากอ้อยครับ
    • ในผิวของคนเราจะมี Squalene อยู่ประมาณ 13% นะครับ เพียงแต่ว่ามันไม่คงตัว (unsaturated) เค้าจึงหันมาใช้ตัว Derivative ที่คงตัว (Saturated) แทน ซึ่งก็คือ Squalane ครับ
    • คุณสมบัติของมันก็มากมายมีการนำไปทดสอบกับทั้งสัตว์ คน (In Vivo) และหลอดทดลอง (In Vitro) ซึ่งก็พบว่ามันเป็นทั้ง anticancer, antioxidant, drug carrier, detoxifier, ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และ (แทรกตามรอยแตกของผิว) emollient ครับ
  7. Dicetyl Phosphate
    • Ceteth-10 Phosphate
  8. Licorice Root Extract
    • 500g-dried-font-b-Glycyrrhiza-b-font-font-b-uralensis-b-font-Fisch-herb-tea-Licorice.jpg
    • รากของชะเอมเทศ ใช้เป็นสาร Whitening มายาวนานแล้วครับทำหน้าที่ในการยับยั้ง Tyrosinase สาเหตุต้นๆ ของการผลิตเม็ดสี
    • รากของชะเอมเทศเป็นตัวที่ขึ้นชื่อในเรื่องการการต้านการระคายเคืองรวมถึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น ที่ผ่านมาเราจะได้ยินว่า Hydroquinone คือ Gold Standard ในเรื่องของการรักษาฝ้าแต่ก็ยังมีประเด็นในเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้นจึงมีการศึกษาสารสกัดอื่นๆ จากพืชที่สามารถช่วยรักษาฝ้า และอาการ Hyperpigmentation จากรอยสิวและแผลต่างๆ หนึ่งในนั้นที่ช่วยรักษาอาการเหล่านี้คือชะเอมเทศนั้นเองครับ
  9. Jojoba seed oil
    • jojoba-beans
    • Credit Photo : https://www.thejojobacompany.com.au
    • Jojoba Oil มีส่วนผสมที่คล้ายกับ Sebum ของคนเราครับ จึงทำให้มันมีจุดเด่นในด้านของการหลอกผิวของเราว่าด้านบนผิวมีน้ำมันเพียงพอแล้วนะ จึงทำให้ผิวเราหลั่งน้ำมันออกมาน้อยลงนั้นเอง นอกจากนี้ Jojoba มักจะถูกนำไปใช้ในส่วนผสมของ Moisturizer, Make-up remover, Lip Balm, Conditioner หรือ Massage Oil ทั้งนี้ที่เราเรียกว่า Oil จริงๆ มันคือ Liquid Wax Ester นะครับ
    • หน้าที่หลักๆ ของ Jojoba จะเป็นเรื่องของการให้ความชุ่มชื้นเสียมากกว่าครับ
  10. PEG-100 stearate
    • เป็นตัวให้ความชุ่มชื้น Emollients หรือตัวสร้างเนื้อครีม  Thickeners หรือเป็นตัวประสานน้ำและน้ำมันให้เข้ากัน Emulsifiers
  11. Glyceryl stearate
    • ส่วนใหญ่จะเจอแต่คำว่า “Glyceryl stearate SE ” เป็น Glycerin + Stearic Acid โดยคำว่า SE มาจาก “Self-Emulsifying” หน้าที่หลักๆ คือเป็น Thickeners, Emulsifiers และ Emollients (แทรกตามรอยแตกของผิวไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว)
  12. Cetearyl Alcohol
    • ให้ความชุ่มชื้นได้เป็นแบบ Emollients ที่เคลือบผิวไม่ให้น้ำระเหยออกไป หรือเป็น Emusifier, Thickener ได้ด้วย
  13. Ascorbyl Tetraisopalmitate
    • ascorbic-acid-ascorbyl-tetraisopalmitate-structure.png
    • Credit Photo : labmuffin.com
    • หรือเรียกอีกชื่อว่า tetraisopalmitoyl ascorbic acid (ATIP)
    • นี้ก็เป็นอีกตัวที่มาแก้ไขเรื่องความเสถียรของ AA ครับ แต่ต้องใช้ที่ PH ต่ำกว่า 5 (ก็ยังไม่ต่ำเท่าของ AA) แถมมันยังละลายในน้ำมันด้วย ส่งผลให้การซึมลงผิวเป็นไปได้ดีกว่า AA ธรรมดานอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่บอกว่ามันสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ด้วยสรุป
      1. มีความเสถียร
      2. ละลายในน้ำมัน ทำให้ดูดซึมได้ดี
      3. การดูดซึมดีกว่า MAP (human ex vivo testing)
      4. ลดเม็ดสี (human in vivo testing)
      5. กระตุ้นการสร้าง Collagen (In Vitro)
      6. ช่วยป้องกันการทำร้ายจาก UV
      7. สามารถ Convert ไปเป็น AA (In Vitro)

      Sources :

      1. In vitro antioxidant and in vivo photoprotective effects of an association of bioflavonoids with liposoluble vitamins.
      2. In vitro antioxidant activity and in vivo efficacy of topical formulations containing vitamin C and its derivatives studied by non-invasive methods
  14. Propylene Glycol
    • Slip Agent
  15. Triethanolamine
    • pH balancer
  16. Diazolidinyl Urea
    • preservative
  17. Panthenol
    • 1200px-(R)-(+)-Panthenol_Structural_Formulae_V.1.svg.png
    • Credit Photo : wikimedia.org
    • Vitamin B5 โด่งดังในหมู่ของ Vitamin ในด้านการ Sooth ผิวครับ เป็น Humectant ที่ช่วยดึงน้ำเข้าผิว มีความสามารถในการช่วยเสริมสร้าง Skin Barrier (ช่วยลด TEWL หรืออัตราการสูญเสียน้ำ) รวมถึงการเสริมการแบ่งตัวของ Fibroblasts ซึ่งเป็น Cell ที่ผลิต Collagen และ Elastin เจ้าตัวนี้อยู่ใน Product ของ Paula Choice’s อยู่มากมายเลยครับ
  18. Alpha Bisabolol (skin soothing)
    • chamomile-401490_960_720
    • Credit Photo : pixabay.com
    • ตัวนี้จะใส่มาเพื่อลดการระคายเคืองครับ ส่วนใหญ่ก็จะสกัดมาจาก Chamomile
    • มีรายงาน Support ว่ามันช่วยลดอาการผื่นอักเสบผิวหนังครับ [http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/24894548]
    • นอกจากนี้ยังมีการทดสอบกับคน 28 คน โดยให้ทาอยู่ 2 เดือนก็พบว่ามันเป็น Whitening ได้ด้วยล่ะ [http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20642768]
    • ส่วนใหญ่ใส่ไม่เกิน 1%
  19. Dl-Alpha Tocopheryl Acetate
    • 470078872_XS.jpg
    • Credit Photo : livestrongcdn.com
    • Antioxidant
    • Vitamin E นั้นมีอยู่ทั้งหมด 8 Forms ครับ มีทั้ง Alpha Beta Gamme Delta เวิ้นกันไป โดยที่ตัวที่เป็น Active Form จะเรียกว่า Alpha-Tocopherol
    • อย่างไรก็ดี Vitamin E ก็สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้จาก Petroleum Product เราก็จะเรียกกันว่า Synthetic vitamin E ซึ่งพวกนี้จะมี “dl-” นำหน้าครับ
    • ส่วน Natural Vitamin E หรือ Vitamin E ที่มาจากธรรมชาตินั้นก็จะมี “d-” นำหน้ามา เช่น d-alpha tocopherol, d-alpha tocopheryl acetate หรือ d-alpha tocopheryl succinate
    • Natural Vitamin E จะดีกว่าแบบ Synthetic ในแง่ของการดูดซึม ทั้งนี้มีการวิจัยในญี่ปุ่นพบว่าจะต้องใช้ Vitamin E แบบสังเคราะห์ถึง 3 เท่าเมื่อเทียบความสามารถกับแบบ Natural
    • มีงานวิจัยที่สนับสนุนงานวิจัยด้านบน ว่าแบบ Natural นั้นถูกดูดซึมได้ดีกว่า
    • งานวิจัยของ Oregon State University พบว่าแบบ Synthetic สลายตัวไวกว่า Natural ถึง 3 เท่า
    • มีงานทดลองกับหนูครับบอกว่ามันช่วยเรื่องลดการผลิตเม็ดสี ลดการระคายเคืองที่เกิดจากการกระตุ้นจาก UV
    • มีความสามารถในการช่วยยืดอายุของน้ำมันจากพืชต่างๆ
  20. Escin
    • Aesculus Hippocastanum
    • สารสกัดที่ได้จาก horse chestnut มีความสามารถในการเป็น เภสัชวิทยา (pharmacological) ต่อผิว โดยสารสกัดจากตัวนี้จะมี Aescin ที่เป็นสารประกอบประเภทสาร Saponin ซึ่งมันมีความสามารถในการช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยการทำให้เส้นเลือดและหลอดเลือดหดตัว และยังสามารถออกฤทธิ์ในการต้านการอักเสบด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะคุ้นกับยาตัวหนึ่งที่ใช้ทาคือยาเรพาริลเจล (Reparil gel)
    • นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการช่วยเรื่องผิวไหม้จากแดด และ Photo Aging (ผิวโดนทำร้ายจากแสงแดดทำให้ดูแก่ขึ้น
  21. Glycerin
    • Humectant ให้ความชุ่มชื้นโดยการดึงน้ำในอากาศเข้าสู่ผิว
  22. Ruscus Aculeatus Root Extract
    • butchersbroomberries800w
    • Credit Photo : http://www.actinia.me.uk/
    • Butcher’s broom มีชื่อในเรื่องของการช่วยให้โลหิตไหลเวียน และเป็นสารที่มักจะใช้ในการช่วยลดอาการเส้นเลือดขอดครับ ข้อมูลใน Pubmed เค้าจะบอกว่ามันช่วยอาการความดันในเลือดต่ำ “Orthostatic Hypotension” เพราะว่าสาร Flavonoid จะช่วยให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงมากขึ้น (แต่ดูเหมือนมันจะมาจากการเทสแบบกิน)
  23. Ammonium Glycyrrhizate
  24. Centella Asiatica Extract
    • centella-asiatica.jpg
    • Credit : spicesmedicinalherbs.com
    • สารสกัดจากใบบัวบก เจ้าตัวนี้เป็นตัวทำมาหากินของ Brand Sisley มาช้านานครับ สรรพคุณดีงามมากมายหลากหลาย เช่นรักษาอาการแพ้อักเสบ หรือช่วยในเรื่องของการสมานแผลและการผลิต Collagen โดยสารหลักๆของมัน คือ Triterpenoid และ Saponins (ที่มีในโสมเช่นกัน)
  25. Hydrolyzed Yeast Protein
    • formedium-filler-image_0010_Layer_5.jpg
    • Credit Photo : http://www.formedium.com/
    • Yeast ที่ใช้ตัวนี้มีชื่อว่า “Saccharomyces Cerevisiae” โดยคำว่า “Cerevisiae” เป็นภาษาลาตินแปลว่า “of beer” นะครับ ใช่เลยเบียมันก็ใช้การหมักบ่มนี้นา ยีสต์ตัวนี้ก็มาจากการหมักบ่มเหมือน Story ของ SK II นั้นล่ะครับ
    • ตัวนี้มันก็ยังไม่ได้มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ครับ แต่ก็ไปเจอข้อมูลใน Pubmed มาจนได้ เค้าบอกว่ามันช่วยเรื่อง oxidative stress (ต้านอนุมูลอิสระ) และช่วยเรื่องความชุ่มชื้นของผิว ซึ่งเค้าก็ทดลองประสิทธิภาพโดยเทียบ 4 สูตร เป็น
      • 1.เบสเปล่า
      • 2.เบส+ Vitamin A C และ E
      • 3. เบส + SCE
      • 4. เบส + Vitamin ACE + SCE
    • แล้วตรวจผลวันที่ 3, 15 และ 30 วัน พบว่าเจ้า SCE สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น และเพิ่ม Texture ของผิวได้มากกว่าสูตรอื่นๆ อย่างชัดเจนครับ
  26. Calendula Officinalis Flower Extract
  27. Iodopropynyl Butylcarbamate
    • Preservative
  28. Sodium Citrate
    • pH balancer

Ingredients : Aqua • Behenyl Alcohol (hydration/emollient) • Isononyl Isononanoate (hydration/emollient) • Niacinamide (vitamin B3/antioxidants/skin-restoring/whitening) • Butylene Glycol (hydration) • Squalane (antioxidant/ hydration/emollient/skin-replenishing) • Dicetyl Phosphate (emulsifier) • Ceteth-10 Phosphate (emulsifier) • Licorice Root Extract (skin soothing) • Jojoba seed oil (hydration/emollient/skin replenishing) • PEG-100 stearate (hydration/emollient) • Glyceryl stearate (hydration/emollient) • Cetearyl Alcohol (hydration/emollient) • Ascorbyl Tetraisopalmitate (vitamin C/antioxidant) • Propylene Glycol (hydration) • Triethanolamine (pH balancer) • Diazolidinyl Urea (preservative) • Panthenol (vitamin B5/skin soothing) • Alpha Bisabolol (skin soothing) • Dl-Alpha Tocopheryl Acetate (vitamin E/antioxidant) • Escin (antioxidant) • Glycerin (hydration/skin-replenishing) • Ruscus Aculeatus Root Extract (skin conditioning/skin soothing) • Ammonium Glycyrrhizate (skin conditioning) • Centella Asiatica Extract (antioxidant/skin conditioning/skin soothing) • Hydrolyzed Yeast Protein (skin conditioning) • Calendula Officinalis Flower Extract (antioxidant/skin conditioning) • Iodopropynyl Butylcarbamate (preservative) • Sodium Citrate (pH balancer)